George Clooney เผยจะไม่เล่นหนังรักอีกต่อไป เพราะอายุ 63 แล้ว “ผมไม่ได้อยากแข่งกับพระเอกวัย 25”
เมื่อพูดถึงพระเอกหนังโรแมนติกในตำนาน ชื่อของ George Clooney คงติดโผเป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทสุดคลาสสิกใน One Fine Day, Up in the Air, Intolerable Cruelty หรือแม้แต่ในหนังแนวคอมเมดี้-รักล่าสุดอย่าง Ticket to Paradise ที่เขาแสดงร่วมกับ Julia Roberts ก็ยังคงเสน่ห์ล้นจอ
แต่ล่าสุด Clooney ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะ “พัก” จากหนังโรแมนติกแล้ว และจะไม่รับบทนำในหนังแนวนี้อีก เพราะเขารู้สึกว่า… ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยเวทีให้กับพระเอกรุ่นน้องได้เฉิดฉาย
“ผมอายุ 63 แล้วครับ ผมไม่ได้อยากไปแข่งกับพระเอกอายุ 25” – George Clooney
ฟังดูอาจจะน่าเสียดายสำหรับแฟน ๆ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือมุมมองที่ทั้งจริงใจและสะท้อนความเป็นมืออาชีพของนักแสดงระดับตำนานคนนี้ได้ดีมาก
Clooney กับยุคทองของหนังโรแมนติก
หากย้อนกลับไปในยุค 90s ถึงต้น 2000s George Clooney คือหนึ่งในพระเอกที่ขึ้นชื่อเรื่อง “เคมี” กับนักแสดงหญิง ไม่ว่าจะคู่กับ Michelle Pfeiffer, Jennifer Lopez, Catherine Zeta-Jones หรือ Sandra Bullock เขาก็สามารถทำให้คนดูอินได้หมด
ด้วยบุคลิกที่ทั้งอบอุ่น ขี้เล่น และมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ Clooney กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “พระเอกสายโรแมนติกที่โตแล้ว” ที่ทำให้หนังหลายเรื่องโดดเด่นและกลายเป็นที่รักของคนดูทั่วโลก
“ผมรักการเล่นหนังโรแมนติกนะครับ มันสนุกและมีเสน่ห์ในแบบของมัน” เขาเล่าในการให้สัมภาษณ์ “แต่บางครั้งคุณก็ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ”
“ไม่ได้อยากแย่งซีนเด็ก ๆ”
Clooney พูดถึงเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมรู้ว่าผมอยู่ตรงไหนในชีวิตแล้ว และผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับการเป็นพระเอกในหนังรักอีกต่อไป”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันพระเอกสายโรแมนติกมีให้เลือกมากมาย ทั้งที่หล่อ เท่ มีเสน่ห์ และที่สำคัญคืออายุยังน้อย “คุณลองดูพระเอกหน้าใหม่ ๆ อย่าง Timothée Chalamet, Glen Powell หรือแม้แต่ Jacob Elordi สิ คนดูอยากเห็นพวกเขาในหนังรัก ไม่ใช่ผมที่อายุจะเกษียณอยู่แล้ว!”
Clooney พูดแบบติดตลกว่า “ผมไม่ควรจะไปเดินจูงมือนางเอกอายุ 25 บนชายหาดอีกแล้ว มันดูขัด ๆ ใช่ไหมล่ะ”
มุมมองของคนอายุ 63 ที่เข้าใจโลกและตัวเอง
แม้จะพูดเรื่องนี้แบบขำ ๆ แต่จริง ๆ แล้วความคิดของ Clooney แสดงถึงความเข้าใจตัวเองอย่างมาก เขารู้ว่าภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ใช่หนุ่มเจ้าเสน่ห์แบบเมื่อ 20 ปีก่อน และเขาก็ยินดีที่จะ “ถอย” มาเล่นบทบาทที่เหมาะกับวัยของตัวเองมากกว่า
“ผมไม่ได้บอกว่าผู้ชายอายุ 60 จะไม่มีความรักได้นะครับ แค่ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปสู่บางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่า”
จากพระเอกโรแมนติก สู่บทบาทใหม่ที่โตขึ้น
ในช่วงหลังมานี้ Clooney หันไปเล่นบทที่เข้มข้นขึ้น เช่น The Midnight Sky (2020) ที่เขาทั้งแสดงและกำกับเอง หรือ The Tender Bar (2021) ที่เขาอยู่เบื้องหลังในฐานะผู้กำกับ เน้นเรื่องราวของครอบครัว ความเติบโต และการเรียนรู้ชีวิต
เขายังเล่าว่า ตอนนี้เขาสนุกกับการเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มาก เพราะได้ควบคุมทิศทางของเรื่องราว และสามารถสร้างสิ่งที่ “มีคุณค่า” ได้มากกว่าการแค่รับบทนำ
“ผมยังรักวงการนี้เหมือนเดิม แค่ตอนนี้ผมอยากอยู่ในบทบาทที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของผมมากขึ้นเท่านั้นเอง”
แฟน ๆ เข้าใจ และยังรักเหมือนเดิม
หลังบทสัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป โลกโซเชียลต่างก็แสดงความเข้าใจและชื่นชมในตัวของ Clooney อย่างมาก หลายคนบอกว่า “นี่แหละคือพระเอกที่ไม่ต้องพยายามเป็นหนุ่มตลอดเวลา แต่ก็ยังเท่อยู่ดี”
บางคอมเมนต์ก็ขำ ๆ ว่า “ถึงพี่ Clooney จะไม่เล่นหนังรักอีกก็ไม่เป็นไร ขอแค่โผล่มาให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่น ๆ บ้างก็พอแล้ว” หรือ “เขาคือคนที่รู้เวลาและวางตัวได้ดีที่สุดในฮอลลีวูด”
เขายังมี Julia Roberts อยู่ข้าง ๆ เสมอ
แม้จะบอกว่าไม่อยากเล่นหนังรักอีก แต่ Clooney ก็ยังยอมรับว่า ถ้า Julia Roberts โทรมาชวนเล่น เขาอาจจะต้องคิดใหม่ เพราะเคมีของทั้งคู่มัน “หาตัวจับยาก”
ทั้งสองเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายครั้ง และเป็นเพื่อนสนิทนอกจออีกด้วย “Julia คือคนที่ทำให้ผมหัวเราะได้ตลอดเวลา เธอคือคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งในวงการนี้” Clooney กล่าว
ชีวิตจริงของ Clooney ก็โรแมนติกอยู่แล้ว
นอกจากบนจอแล้ว ชีวิตจริงของ George Clooney ก็มีเรื่องราวโรแมนติกไม่แพ้ในหนัง เพราะเขาแต่งงานกับ Amal Clooney นักกฎหมายชื่อดังที่ทั้งสวย ฉลาด และมีอิทธิพลในระดับโลก ทั้งคู่มีลูกฝาแฝดที่น่ารัก และดูเหมือนว่า Clooney จะหลงรักครอบครัวนี้สุด ๆ
“ชีวิตรักของผมมันเต็มแล้วครับ ผมไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่มในหนังอีก”
บทสรุป: Clooney อาจไม่ใช่พระเอกหนังรักอีกต่อไป แต่ยังคงเป็นตำนานในใจคนดู
แม้จะเป็นการบอกลาเล็ก ๆ กับหนังโรแมนติก แต่ George Clooney ก็ยังคงเป็นที่รักของแฟน ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ความจริงใจ หรือทัศนคติที่ดีต่อวงการและผู้ร่วมงาน
เขาอาจจะไม่ใช่พระเอกที่วิ่งฝ่าฝนไปสารภาพรักในฉากไคลแม็กซ์อีกแล้ว แต่เขายังเป็น “พระเอกตัวจริง” ที่รู้จักโต และรู้ว่าความงามของการแสดงมันอยู่ที่ “จังหวะชีวิต” และแน่นอน ไม่ว่าเขาจะรับบทแบบไหน คนดูอย่างเราก็ยังจะคอยติดตามเสมอ